5.1 คบเพื่อนรุ่นพี่
เริ่มตั้งแต่ที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอายุประมาณ 6-10 ขวบ ข้าพเจ้าชอบคบหาสมาคมกับเด็กโต แต่เด็กโตที่คบจะมีนิสัยเกเร ข้าพเจ้าก็พอรู้ชั้นเชิงต่าง ๆ ของคนโกง เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่อายุ 15 ปี ได้มาชวนข้าพเจ้าไปลักขโมยมะม่วงข้างบ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่มีนิสัยเช่นนั้นแต่ก็ไป พอไปถึงพบขโมยอีกกลุ่มหนึ่งกำลังขโมยมะม่วงอยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นตามความคิดของข้าพเจ้าว่า เราน่าจะร่วมเข้าไปสมทบด้วยหรือไม่ก็หลีกทางให้กลุ่มแรก แต่ปรากฏว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่ไปด้วยบอกว่า เราแอบซุ่มดูให้กลุ่มแรกเก็บมะม่วงให้มากก่อน แล้วเราจะแสดงตัวเป็นของไร่พร้อมตะโกนขับไล่พวกนั้นให้ตกใจ วิ่งหนีไปโดยไม่ทันได้เอามะม่วงไป เราก็จะสะบายได้กินมะม่วงโดยที่ไม่ต้องออกแรง ในที่สุดก็เป็นไปตามแผน เหตุการณ์ที่ 2 เพื่อนรุ่นพี่ อายุ 14 ปี ข้าพเจ้าอายุ 11 ปี มีความต้องการไม้ไผ่ 1 ท่อนมาเหลาทำลูกข่าง คิดได้แต่ไม่มีอุปกรณ์ มีดและไม่มีแรงตัดด้วย เพื่อนรุ่นพี่บอกว่าไม่ต้องกลัวเราจะได้ไม้มาโดยสมอง โดยบอกว่าเราจะวางแผนหลอกให้พวกเด็กเลี้ยงวัวอายุประมาณ 17-18 ปี ตัดไม้ให้เรา โดยบอกว่า ถ้าตัดไม้ให้เรา ก็จะให้บุหรี่ 1 ซอง ในที่สุดก็ได้ไม้ไผ่มา 1 ท่อน เพื่อนรุ่นพี่บอกผู้ตัดว่า ให้รอตรงนี้เดี๋ยวจะเอาบุหรี่มาให้ พอเดินห่างจากเด็กเลี้ยงวัวไกลพอสมควร ก็รีบหนีเข้าบ้านปล่อยให้พวกนั้นรอเก้อ ข้าพเจ้ากลัวมากถ้าเกิดวันใดไปพบเข้า คงโดนรุมกระทืบแน่ โชตดีที่เหตุการณ์ผ่านไปเป็นปกติ จาก 2 เหตุการณ์ที่เล่ามาเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรทำ แต่สิ่งที่ได้คือการคิดข้ามฉอดหลายชั้น
5.2 เหตุการณ์บีบให้ทำ
ขณะที่ข้าพเจ้าอายุ 10 ปี ก็ชอบเล่นน้ำตามลำคลองกับเพื่อน ๆ เด็กคนอื่น ๆ แก้ผ้าอาบน้ำ แต่ข้าพเจ้ามีกางเกงในสีแดงคนเดียว ;เพราะพี่สาวเป็นช่างเย็บผ้าตัดให้ เวลาผ่านไปหลายเดือนกางเกงในสีแดงก็เริ่มเปื่อยขาด ข้าพเจ้าบอกพี่สาวให้ตัดใหม่ พี่สาวไม่ว่าง ข้าพเจ้ารอแล้วรออีกก็ยังไม่ได้กางเกงตัวใหม่สักที จึงเกิดความคิดว่า ผ้าก็มี จักรเย็บผ้าก็มีพร้อมแล้ว พี่สาวไม่ว่าง เราก็ลองทำเองโดยหยิบผ้าสีเขียวขึ้นมาวางแล้วคลี่ออก เอากางเกงในสีแดงตัวเก่ามาวางทาบ ตัดตามรูปโดยเผื่อเย็บขอบด้วย ในที่สุดก็ทำสำเร็จ ใส่ได้แต่เรื่องความสวยงามไม่ต้องพูด จึงอาบน้ำคลองอย่างมีความสุข ทำให้ผู้ใหญ่อือฮาพอสมควร
5.3 มืออาชีพรุ่นเด็ก
ต่อมาญาติผู้พี่ได้เปิดร้านตัดเสื้อผ้าผู้ชายสนใจเรียกข้าพเจ้าไปใช้ สมัยนั้นนิยมเปลี่ยนทรงกางเกงตัวใหญ่ให้เป็นตัวเล็ก โดยจ้างเลาะกางเกงตัวใหญ่ทั้งตัวออกเป็นชิ้น ๆ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนชีวิตจากเด็กซนกลายมาเป็นเด็กมีอาชีพ ท่านลองนึกภาพว่าเด็ก อายุ 10 ปี นั่งเลาะกางเกงเป็น สิบ ๆ ตัวทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้เล่นเลย เด็กคนไหนชอบบ้าง ข้าพเจ้าไม่ชอบ แต่เหตุการณ์บังคับให้ทำ ขณะนั้นก็คิดว่าการทำงานมี 2 ทางให้เลือก คือ 1 ทำแบบเซ็ง ๆ กับ 2 ทำแบบมีความสุข ข้าพเจ้าเลือกทำแบบมีความสุข จึงต้องพัฒนาการเลาะให้ดีขึ้น ทำอย่างไรจึงจะเลาะได้ง่าย ไว ดี ก็ต้องมีชั้นเชิง ในที่สุดญาติผู้พี่เห็นว่าข้าพเจ้ามีแววที่จะเป็นช่างเย็บผ้า ก็เลื่อนชั้นมาเป็นช่างเย็บผ้า เริ่มต้นสอนให้ข้าพเจ้าเย็บผ้า เริ่มจากง่ายไปหายาก ขณะเรียนเย็บผ้านั้นเรียนยากมาก ๆ ญาติผู้พี่ท่านนี้เป็นคนฉลาดมากเรียนได้ 98 เปอร์เซ็นต์ สมัยนั้น เวลาสอนท่านคงนึกว่าข้าพเจ้าคงเก่งเหมือนท่านแน่ อธิบาย 10 ด่านติดต่อกัน ข้าพเจ้างงมากก็ครับไปตลอด จำไม่ได้เลย การเย็บผ้า ข้าพเจ้าเริ่ม จับผ้า 2ชิ้นมาเย็บติดกัน แต่ ชิ้นส่วนของผ้ามีสิบกว่าชิ้น ไม่รู้จะเอา 2 ชิ้นไหนประกบคู่เย็บก่อน จะไปถามพี่ก็กลัวโดนดุว่า อ้อ... มีลูกจ้างเย็บผ้าผู้ใหญ่อีก 2 คน ข้าพเจ้าถามช่างลูกจ้างทีละขั้น ช่างก็อธิบายให้ ช่างลูกจ้างแต่ละคนก็มีชั้นเชิงการเย็บแตกต่างกัน ทำให้ข้าพเจ้าสามารถคัดเลือกชั้นเชิงที่ดีของแต่ละท่านได้ ในที่สุดข้าพเจ้าก็เป็นช่างเย็บผ้าที่สมบูรณ์ในระดับหนึ่งตอนอายุ 13 ปี
5.4 อยากเที่ยวทั่วไทย
และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ญาติผู้พี่ทิ้งร้านเย็บผ้าที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ย้ายไปอยู่จังหวัดพังงา ในช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าเรียนจบชั้นประถมปีที่ 7 พอดี ห้องเรียนที่ข้าพเจ้าเรียน มี 34 คน ข้าพเจ้าสอบได้ที่ 32 ทางครอบครัวบอกว่า ผลการเรียนแบบนี้ เย็บผ้าดีกว่า มาถึงจุดนี้ถ้าจะถามว่าเรียนต่อไหม? ข้าพเจ้าสั่นหัว ชอบเย็บผ้าไหมก็เฉย ๆ แล้วชอบอะไร ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข มีความพอใจ ข้าพเจ้ามองไม่เห็นอนาคตที่ดีของตัวเอง คืนวันหนึ่งมีภาพยนต์กลางแปลงมาฉาย ข้าพเจ้าก็มีโอกาสพบปะกับเพื่อน ๆ มีรุ่นพี่คนหนึ่งหนีออกจากบ้านไปหลายวันแล้วก็กลับมา ได้เล่าเหตุการณ์ที่ได้ผจญภัยให้ฟัง ข้อความหนึ่งที่จำได้ “เองไม่ต้องกลัวอดข้าว เพียงยกมือไหว้แล้วขอข้าวเขากิน ก็อยู่ได้แล้ว โดยสารรถยนต์ก็ฟรี เพียงแต่ช่วยเขายกกระเป๋าหรือยกของ” ข้าพเจ้านำเหตุการณ์ต่าง ๆ มาประมวลผล ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน จุดมุ่งหมายว่าจะเที่ยวให้ทั่วประเทศไทย โดยไปตั้งหลักที่จังหวัดพังงาก่อน เอาแผนที่ออกมากาง จังหวัดพังงาอยู่ทางใต้ รถไฟไม่ผ่าน รถยนต์ผ่าน กระบวนการคิดข้ามฉอดเกิดขึ้น รวบรวมเงินได้ 100บาท บอกทางบ้านว่า ขอไปหาญาติบ้านใกล้สัก 2-3วัน การผจญภัยครั้งสำคัญเริ่มขึ้นแล้ว เริ่มด่านที่ 1 ไปตั้งหลักบ้านญาติใกล้ ๆนั้น จากนั้นมารอขึ้นรถข้างถนน ถามแม่ค้าว่ารถยนต์ไปจังหวัดพังงามากี่โมง แม่ค้าบอกว่า หนูรถไปพังงาไม่มี หนูจะต้องไปต่อรถที่จังหวัดชุมพรเพื่อไปพังงา รอสักพักก็มีรถชุมพรมา ข้าพเจ้าก็รีบขึ้นรถ กระเป๋ารถมาเก็บเงินค่าโดยสาร 50 บาท ข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า “ตอนนี้มีเงิน100 บาท หมด 50 บาทไปยังไม่ถึงครึ่งทาง แล้วจะไปถึงจุดหมายไหมนี่!” เสียงกระซิบจากลุงใกล้ ๆ ว่า “หนูอย่าไปให้มัน” ทำให้ข้าพเจ้าคิดออก ถามกระเป๋ารถว่า “ผมเป็นเด็กเสีย 25 บาทนะครับ กระเป๋าOK ถึงชุมพรมืด “ทำอย่างไรดี!”คิดในใจ เห็นชายหนุ่ม 3 คน ก็เข้าไปถามว่า “พี่จะไปไหนครับ” เขาบอกว่าจะไปภูเก็ต “เอ๊ะ ภูเก็ตอยู่ตรงไหนลืมดูแผนที่ ถามต่อ “ทางไปภูเก็ตผ่านพังงาหรือเปล่า” พี่ทั้ง 3 บอกว่า ผ่าน “งั้นผมขอติดตามพี่ไปด้วยนะครับ” เพราะไม่รู้จะขึ้นรถคันไหนรถมีหลายคัน เห็นพี่ไปไหนข้าพเจ้าก็เดินตามห่าง ๆ เอ้าพี่ทั้ง 3 ซื้อตั๋วดูภาพยนต์ จะตามเข้าไปด้วยหรือ? NO ๆ รออยู่หน้าโรงภาพยนต์ซิเรา กว่าภาพยนต์จะเลิกใช้เวลานาน เราจะไปพักตรงไหนก่อนดี จากนั้นก็เดินไปหยุดที่บริเวณปั้มน้ำมันคุยกับเด็กปั้ม ขณะยืนคุย มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาอย่างเร็วตรงมาที่ข้าพเจ้ายืน ข้าพเจ้านึกในใจว่าาคราวนี้ตายแน่ ๆ จึงรีบกระโดดขึ้นฟุตบาทด้วยความรวดเร็ว โธ่เฉียดเสื้อไปนิดเดียว ชายหนุ่มเปิดประตูรถ เดินตรงมาหาข้าพเจ้าชี้หน้า”เองไม่รู้จักตายอีก” ข้าพเจ้าเลือดขึ้นหน้าหึ้ม! ถ้าข้าพเจ้าตัวโตเท่ากัน ข้าพเจ้าจะตะบันหน้าให้สมใจเลย แต่ข้าพเจ้ายังเด็กอยู่ ความโมโหยังค้างอยู่ พออารมณ์ข้าพเจ้าดีขึ้นได้เวลาภาพยนต์เลิก ข้าพเจ้ารีบไปหน้าโรงภาพยนต์ทันที มองหาพี่ทั้ง 3 ว่าอยู่ตรงไหน เอ๊คนไหน พึ่งเห็นหน้าไม่กี่นาทีจำหน้าไม่ได้ แต่จำเอกลักษณ์ที่เขาไปกัน 3 คน “อ้อโน่นเอง!” เห็นเขาเดินไปทางไหนก็รีบตามเขาไปทันทีเขาขึ้นรถโดยสารภูเก็ต เราก็ขึ้นคันเดียวกัน ข้าพเจ้าไปนั่งติดน้าผู้ชายคนหนึ่งแล้วถามว่า “น้าไปไหนครับ” น้าตอบว่า”ไปภูเก็ต” ข้าพเจ้าถามต่อ “ผมจะไปพังงาจะไปได้อย่างไรครับ”น้าบอกว่าจะต้องไปลงที่โคกกลอยแล้วต่อรถโดยสารเล็กเข้าพังงา เวลานั้นยังมืดอยู่ ข้าพเจ้าบอก “น้าครับ! พอถึงโคกกลอยช่วยบอกให้ผมลงด้วยครับ ขอบคุณครับ” ใช้เวลาในการเดินทางนาน ข้าพเจ้านั่งหลับเริ่มสว่าง น้าก็ปลุกว่า “ถึงโคกกลอยแล้ว” ข้าพเจ้าขอบคุณ แล้วก็ลงจากรถ ขึ้นนั่งบนรถเล็ก ถามลุงใกล้ ๆ ว่า “ลุงรู้จักคนที่ชื่อเสมอไหมครับ เป็นร้านตัดเสื้อผ้า” ลุงบอกว่า “อ๋อ คุณเสมอกับลุงรู้จักกันดี หนูจะไปหาเขาหรือ “ใช่ครับ”ข้าพเจ้าตอบ ไม่นานก็ถึงปลายทาง ลุงพาไปหาพี่ชายเสมอ ข้าพเจ้าดีใจมากที่การผจญภัยครั้งนี้สำเร็จ ในใจก็นึกว่า พี่จะต้องชมข้าพเจ้าแน่ ๆ
5.4 อดเที่ยวทั่วไทย
แต่ คำพูดที่ข้าพเจ้าได้ยินจากพี่ชายไม่เหมือนกับที่คิด ”เองทำตัวแบบนี้ไม่ดีจะเอาอย่างพี่อีกแล้ว ตอนพี่เด็ก ๆ พี่ก็หนีพ่อแม่เข้ากรุงเทพฯ” เอาอย่างนี้ดีกว่า การเย็บผ้านั้นไม่ดี อย่าไปทำเลยไปเรียนต่อเถอะ อนาคตจะได้ดี (ลืมบอกไปว่าพี่เสมอเขาก็เคยหนีพ่อแม่เข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อไปเรียนหนังสือ ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เรียน เพราะมีเหตุการณ์ผันผวน พี่จึงเห็นความสำคัญของการเรียน) พี่พูด “นี่โรงเรียนกุยบุรีวิทยากำลังเปิดใหม่ระดับมัธยมใช่ไหม? เองไปเรียน เอาเงิน 150 บาทนี่ ไปเสียค่าเทอม พรุ่งนี้กลับไปได้” โธ่เหตุการณ์ผจญภัยครั้งนี้ล้มเหลว ข้าพเจ้ามั่นใจว่าถ้าไม่เจอพี่ ข้าพเจ้าจะเที่ยวให้ทั่วประเทศไทย ในวันเดินทางกลับบ้าน ก็ต้องใช้เวลา 10 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย คำนวณเวลาแล้วรถจะต้องไปถึงอำเภอกุยบุรีมืด เมื่อลงจากรถก็จะต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 2 กม.จึงจะถึงบ้าน ระหว่างทาง 2 กม.นั้นข้อมูลบอกว่า ผีดุ พอนึก ใจข้าพเจ้าเต้นผิดจังหวะทุกที เลือดก็ไม่ยอมไปเลี้ยงสมอง แรงก็หนีหาย
ข้าพเจ้ากลัวผี รถยนต์โดยสารที่ข้าพเจ้านั่งมา ก็รีบวิ่งเข้าใกล้กุยบุรีทุกขณะ ไม่รู้จะรีบไปถึงไหน หัวใจเต้นถี่ขึ้น หายไม่ทั่วท้อง ข้าพเจ้าเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ว่า ถ้าลงรถที่กุยบุรี จะต้องผจญกับผี งั้นเราไปกรุงเทพ ฯ เที่ยวต่อดีกว่า แต่พี่เขาให้เงินมาเพื่อเรียน เขาคงเสียใจถ้าเราไม่เรียน เอาอย่างไรดี สมองสับสน ๆ ขณะคิดได้ยินกระเป๋ารถบอกว่ากุยบรีถึงแล้ว ข้าพเจ้าตกใจ ตัดสินใจลง เมื่อรถจากไป มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวในเวลาค่ำมืดเช่นนี้ อากาศเย็น มีฝนก็ตกปอยๆ อีก แหม! อะไร ๆ ก็สอดคล้องกันไปหมด ทำอย่างไรดี ความคิดของเด็กตอนนั้น วิ่งลูกเดียว ไวเท่าที่จะไวได้ เกมกีฬาวิ่งทนระยะทาง 2 กม. กำลังจะเริ่ม แข่งกับใคร แข่งกับผีก็ไม่ใช่ แข่งกับความกลัว กลัวน้อยวิ่งช้าได้ ถ้ากลัวมากก็ต้องวิ่งสปีดอย่างเร็วไม่ต้องออมแรง มีเท่าไรใส่ให้หมด แต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ เราต้องคิดข้ามฉอด วางแผนการวิ่งไม่เช่นนั้นเราจะหมดแรงตอนถึงต้นแจงแล้วจะโดนผีลอก เราก็เสร็จเท่านั้นเอง เอาอย่างนี้ เราจะต้องวิ่งเยาะ ๆไปก่อนพอใกล้ต้นแจงเราก็หลับตาสปีด 100 เมตรสุดท้ายจะดีกว่า ... ในที่สุดผิดคาดไม่เจอผีเลย ดูเหมือนตอนนั้นวิ่งชนหมา 1 ครั้ง เราหลับตาวิ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นหมา อือ ผีหรือหมา โอ้ยไม่คิดดีกว่าถึงบ้านแล้ว กระซิบบอกพี่สาวว่าผมไปพังงามาแล้วนะ พี่เสมอให้เงินมา 150 บาทเป็นค่าเทอม ผมจะต้องไปเรียนนะ พี่สาวOK
5.5 นักเรียนจำยอม
รุ่งเช้าข้าพเจ้าเดินทางไป เขียนใบสมัครลำดับที่ 30 เป็นคนสุดท้าย เพื่อน ๆ เขาเรียนกันไปหลายวันแล้ว โธ่ชีวิตเรา! ทำไมกลับไปกลับมาอีกแล้ว เราไม่ชอบเรียนก็ต้องจำใจเรียน แล้วเราจะมีความสุขไหมเอย พี่เสมอคงเสียใจ ถ้าเราเรียนแบบไม่ตั้งใจ ลองเปลี่ยนแผนเรียนวิธีใหม่ดูซิ! ก็นึกย้อนหลังไปว่า ขณะที่เราเรียนระดับชั้นประถม เราไม่เคยอ่านหนังสือเลย ถ้าเราเกิดอ่านหนังสือก่อนสอบบ้างอะไรจะเกิดขึ้น น่าทดลอง ไม่ลองไม่รู้ แต่พออ่านสักพักก็ง่วง จำก็ไม่ได้ สมองเรา! บื้อจริง ธรรมชาติไม่มอบความฉลาดให้เราเหมือนคนอื่นบ้าง ชาตินี้ช่างเศร้าจริง จ้องมองไปที่ตัวหนังสือ ก็นึกว่าทำไมตัวหนังสือไม่เห็นใจเรา มันน่าจะวิ่งเข้าสมองเรา เราจะได้ไม่อ่านแก
5.6 กลับลำเรียนใหม่
ย้อนความคิดเมื่อครั้งไปเที่ยวที่บ้านเพื่อนคนเก่ง สังเกตเห็นเพื่อนอ่านหนังสือแล้ว ยังมีการขีดเส้นใต้เน้น ยังไม่พอ เขาจดข้อความใส่กระดาษแผ่นเล็กติดไว้ข้างมุ้งนอน และก็ท่องก่อนนอนทุกคืน ถ้าเราทำแบบเขาบ้าง น่าจะมีอะไรดี ๆให้เห็นบ้าง จึงหยิบหนังสือมาอ่านใหม่ แอ๊จะขียนเส้นใต้ข้อความตรงไหนดี มันก็สำคัญหมด ลองอ่านใหม่ซ้ำอีกรอบ เฮ้ย!ความมหัศจรรย์มาจากไหน จำได้ เข้าใจง่าย แต่ตรงนี้สำคัญที่สุด รีบขีดเส้นใต้ การอ่านหนังสือแบบนี้ เริ่มสนุกแล้ว สนุกกว่าการผจญภัย พอถึงวันสอบ เพื่อนชื่อวุฒิกำลังยืนโม้บทเรียนให้เเพื่อน ๆ ฟัง ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่องดังที่เขาพูด คิดอยู่ในใจ นายวุฒิ แกเก่งจริง ๆ แก่คงได้ที่ลำดับต้น ๆ แน่ หลังจากสอบเสร็จครึ่งเทอมแรก ทางโรงเรียนประกาศผล ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดรวมทุกวิชาคือ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้างง มองไปรอบตัว ทุกสายตาจ้องมองมาที่ข้าพเจ้า มันเป็นเรื่องจริง คงไม่ได้ฝันกลางวันแน่ ... ข้าพเจ้าดีใจมากซึ่งในชีวิตไม่เคยสอบได้เลขตัวเดียวเลย มันเกิดอะไร ความมหัศจรรย์มาจากไหน นึกถึงทางบ้าน พี่ ๆ ที่บ้านคงภูมิใจแน่ แต่นึกเสียดายเมื่อครั้งก่อนสอบ ทางโรงเรียนประกาศรับสมัครผู้สนใจ เข้าค่ายลูกเสือที่ต่างจังหวัด ค่าสมัคร100 บาท นำเรื่องไปบอกพี่สาว พี่ตอบว่า “ไม่มีเงิน! ถ้าสอบได้ที่ 1 จะให้ แหม! พี่ผม ให้ก็ไม่ให้ แถมยังประชดอีก แล้วข้าพเจ้าก็เฉย ๆ ไม่ได้ตอบตอนนั้น...
5.7 อาชีพที่ไม่ชอบ
เมื่อเรียนจบชั้นมศ.3ที่ ก็สอบเรียนต่อโรงเรียนฝึกหัดครูเพชรบุรี ข้าพเจ้าไม่ชอบอาชีพครู แต่เหตุที่เลือกเรียน ประการที่ 1 เรียนจบ 2 ปีก็มีงานทำ ประการที่ 2 มีเวลาปิดเทอมยาวดี คราวนี้ไม่ใช่เป็นนักเรียนที่เก่งแล้ว จบแบบ ไม่มีอนาคต ในที่สุดก็เรียนต่อจนจบปริญญาตรีที่มีเหตุการณ์ฝืดๆ
5.8 ความคิดเด็กตอน1
ความคิดสะเปะสะปะสมัยเด็ก.....
ข้าพเจ้าอายุ 5 ขวบ เริ่มเป็นนักประดิษฐ์คิดเอง ไม่มีใครสอน ไม่ถามใคร เป็นตัวของตัวเอง กระบวนการคิดไม่มีใครฝึก ไม่เป็นไรใช้ความรู้สึกแทน ชอบเล่นดินน้ำมัน ยังไม่เข้าโรงเรียน หนังสืออ่านไม่ออก แต่ วิเคราะห์ข้อความเป็น ดินน้ำมัน ก็แสดงว่ามี
ดินกับน้ำมันผสมกัน ชวนเพื่อนอายุรุ่นเดียวกันทำ เพื่อนอายุเท่ากับข้าพเจ้าแต่เขาเก่งกว่าก่อไฟไป็น แม่เขาสอน น้ำมันก๊าซก็มีที่บ้าน
เขารวย เตาหุงข้าวก็มีแต่สูงไป ด้วยความฉลาด ใช้เก้าอี้ต่อให้สูงได้ หม้อ น้ำมัน ไฟ ดินทรายหน้าบ้าน ข้าพเจ้าวางแผนนายก่อไฟ ตั้งหม้อ เตรียมทัพพี หน้าที่ของเรายืนบนเก้าอี้เป็นคนกวน เมื่อไฟติดดีแล้วข้าพเจ้าก็ชโงกหน้าดูเป็นจังหวะเพราะเตาสูง นายมีวิธีไหนที่ทำให้ไฟติดแรงๆ เพื่อนวิ่งไปหยิบพัดมาพัดด้วยความเร็ว สักพักเพื่อนเหนื่อย หยุดก่อน ข้าพเจ้ารีบคนกลัวติดก้นหม้อ เพราะที่บ้านทำขนมขายจึงรู้ดี เมื่อเพื่อนหายเหนื่อยก็มาพัดต่อ เอ..ทำไมเดือดช้าจัง ไม่เหมือนกวนขนมที่บ้านมีควันออกจากหม้อมากๆ เอ้ยเริ่มมีสิทธิ์ ไอเริ่มออกจากหม้อแล้ว แกพัดให้แรงกว่านี้ เพื่อนบ่นเหนื่อย ข้าพเจ้ามาพัดแทน ข้าพเจ้ากลัวสิ่งประดิษฐ์จะไหม้ติดก้นหม้อ ก็มาทำหน้าที่คนต่อ เมื่อคนอยู่นาน เมื่อยมือ ขอพักซักนิด ก็วางทัพพีแล้วลงจากเก้าอี้ที่ยืน ไอ้ตอนก้มหน้าก้มตากวน หม้อบังไม่เห็นไฟว่ามีมากน้อยเพียงใด เมื่อลงมาก็เห็นไฟถ่านน้อยไปไม่เต็มร้อย อ่อนประสบการณ์ก่อไฟ คิดอีกทีไอขึ้นขนาดนี้แล้วยังไม่มีแววเป็นดินน้ำมันอีก ใจร้อนเด้วยความเป็น เด็ก บอกเพื่อนหยุดๆ สิ่งประดิษฐ์ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ไปเล่นอย่างอื่นต่อ โชคดีที่ใจร้อน ถ้าใจเย็นกว่านี้อีกหน่อย ใบหน้าของข้าพเจ้าก็จะเละสะเปะสะปะ ร่างกายอาจจะเละไปด้วยกัน หรืออาจจะด่วนไปทำดินน้ำมันต่อชาติหน้า ตลาดทั้งตลาดคงไฟไหม้ พ่อแม่เป็นอย่างไร หยุดไม่นึกต่อ…………..
ความคิดของเด็กเล็กจะสะเปะสะปะถ้าไม่มีผู้ใหญ่แนะนำ
5.9 ความคิดเด็กตอน2
คบเพื่อนคนใหม่ อายุ 5 ขวบเท่ากัน เพื่อนคนใหม่เก่งกว่าข้าพเจ้าอีก คิดเหนือคนปกติทั่วไป คิดเหนือผู้ใหญ่ที่จบปริญญาเอกเสียอีก ต้องการอุจจาระเหนือฟ้า ชักชวนข้าพเจ้า “ ไปอึบนยอดไม้ดีกว่า” ข้าพเจ้าก็ชอบอยู่แล้วไอ้เรื่องเหนือๆ ไม่ปฏิเสธ เพราะไอ้ตอนที่ข้าพเจ้าอึบนดิน หมูที่เจ้าของปล่อยอิสระชอบเดินเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า กองที่ 1 ออกมา ข้าพเจ้าก็ลุกขยับหนี หมูมันติดใจรสชาด มันไล่เข้ามาหาข้าพเจ้ากระชั้นชิด ข้าพเจ้าใช้พลังภายในทำให้ขนมออกเร็ว ออกยังไม่ทันหมด มันใจร้อนปี่เข้ามาชน ข้าพเจ้ากลัวมันจะเข้าใจผิดไม่งับอึของข้าพเจ้าเท่านั้น มันอาจจะคิดว่าข้าพเจ้ามีอึพิเศษ หวงไม่ยอมทิ้งเสียที เดี๋ยวยุ่งตาย มันตัวใหญ่เป็นแม่หมูสู้มันไม่ได้เราตัวเล็ก บางครั้งขนมพิเศษของข้าพเจ้าเป็นรูปงู ข้าพเจ้าตั้งใจขยับตัวโยกซ้ายโยกขวาทำให้เป็นรูปเจดีย์เพื่อให้เจ้าหมูกินได้ง่าย แค้นมันอยู่แล้วนิสัยมันไม่ดี ไม่เกรงใจ เรา มันไม่เข้าใจเรา แค้นๆ คราวนี้แหละ เจ้าจะได้เห็นดี ข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนจะปล่อยระเบิดลงหัวเจ้าให้สะใจ เพื่อนชวน ปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว ต่างคนต่างปีนขึ้นสูงจ้องทำเลคนละกิ่ง จากนั้นลูกระเบิดของข้าพเจ้าก็ทิ้งลงมาเฉียดเป้าไปนิด ขยับฐานยิงใหม่ คราวนี้ถูกเป้าเต็มๆ ส่วนของเพื่อนเป็นดาวกระจายทุกครั้ง
ข้าพเจ้าไม่บรรยายต่อ สรุปผลก็แล้วกัน ระเบิดของเพื่อนนั้นไม่แม่นเหมือนข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามองหน้าเพื่อนทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน เปื้อนโคนต้นไม้ข้างล่างหมดแล้ว คราวนี้ซวยซิเรา ระเบิดของข้าพเจ้าเองก็พอจะหลบหลีกได้ เพราะเป็นระบบ ของเพื่อนที่กระจายทั่วโคนต้นจะหลบอย่างไร ดีนะที่เป็นต้นมะขามกิ่งเหนียว ปีนลงปลายกิ่งได้ ต่างคนต่างสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ข้าพเจ้าปลอดภัย ส่วนเพื่อนกางเกงเปื้อนผลงานที่ทำไว้เล็กน้อย ที่หัวเขามีระเบิดนิดหน่อย เพราะว่าขณะปีนลง ข้าพเจ้าลงถึงพื้นดินก่อนเหลือบไปเห็นแม่หมูตัวนั้นสะบัดหัว คงเหวี่ยงระเบิดไปโดนแน่
ความคิดสะเปะสะปะนั้นย่อมมีอยู่ในเด็กทุกคน ผู้ใหญ่ควรดูแลบ้าง
แต่อย่าดูถูกเด็กเล็กๆ เด็กเล็กจำแม่น จำนาน แค้นเป็น ข้าพเจ้าเคยโดนผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีแสดงอาการกับข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดในใจว่า ถ้าข้าพเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ และเป็นโจร บ้านแรกที่ข้าพเจ้าจะปล้นคือบ้านแก
ขณะเรียนอยู่ชั้นป. 1 อายุ 6 ขวบ โรงเรียนจัดนำเที่ยว เห็นครูสวย ข้าพเจ้าแกล้งป่วย เพื่อจะได้นอนหนุนตัก คิดได้อย่างไรตอนนั้น ถึงบอกว่าอย่าดูถูกเด็กเล็ก
5.10 ความคิดเด็กตอน 3
ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณ 1 กม. ข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียนเองระหว่างเดินก็ไม่มีเพื่อน เอาความคิดเป็นเพื่อน อยากให้โลกนี้มีดวงอาทิตย์ 2 ดวง หรือมีดวงจันทร์ 5 ดวง แล้วก็คิดต่อไปว่า ผู้หญิงผู้ชายตอนอยู่คนละบ้านไม่มีลูก แต่เมื่อมาแต่งงานกันอยู่ด้วยกันทำไมถึงมีลูก เขาเอาลูกมาจากไหน ไม่กล้าถามผู้ใหญ่ กลัวจะว่าเราโง่ เราตัวเล็กๆ มีความคิดนะ ไม่ถามก็ได้ เดี๋ยวโตเป็นผู้ใหญ่ คงจะรู้เอง แต่ยังอดคิดไม่ได้ ข้าพเจ้าอยากโตไวๆ บังเอิญไปสนิทกับชายหนุ่มร้านถ่ายรูปบ้านติดกัน ก็เห็นว่าสนิทกันอยากจะถามคำถามนี้ แต่ไม่กล้า เก็บไว้เป็นคำถามที่ 2 เวลาผ่านไปนาน ตัวข้าพเจ้ายังเล็กอยู่ไม่ยอมโตสักที……ก็เลยตั้งคำถามแรกว่า “พี่ๆ ทำไมพี่ตัวโต ผมอยากโตเท่าพี่บ้างทำอย่างไร” เขาตอบว่า “ก็เอาเครื่องสูบลมมาอัดใส่ก้นซิ” ข้าพเจ้ายิ้มผู้ใหญ่คนนี้ทำไมถึงพูดตลก เห็นคนขายลูกโป่งสูบลมลูกโป่งมากๆมันแตกได้ นี่ถ้าข้าพเจ้าเชื่อไปสูบลมคงระเบิดเหมือนลูกโป่งซิ ยังงั้นคำถามที่ 2 ยังไม่ถามดีกว่าเดี๋ยวตลกอีก ข้าพเจ้าก็วิ่งเล่นกับเพื่อนที่บ้านใกล้ๆแถวนั้น วันหนึ่งเห็นชาวบ้านล้อมวงเชียร์หมูตัวผู้ผสมพันธุ์กับหมูตัวเมีย ข้าพเจ้าก็เข้าไปดูกับเขา เกิดสงสัย เขาเชียร์กันทำไม แค่หมู 2 ตัวไม่เห็นมีอะไรเลย ก็ถามพี่เด็กโตว่า พี่เขาเอาหมู 2 ตัวมาทำไม “พี่ตอบว่า เอามาโก่กันไม่เห็นหรือ” ข้าพเจ้าถามอีกว่าโก่กันทำไม พี่เขาบอกว่า “คนเลี้ยงหมูตัวเมียจ้างหมูตัวผู้โก่กันเพื่อให้มีลูก” ข้าพเจ้านึกในใจ อ้อ รู้แล้วคำถามที่อยู่ในใจชัดเจนแล้ว แต่ยังสงสัยต่อ “พี่ๆ เรามานั่งรอ เดี๋ยวแม่หมูออกลูกให้เราเลยหรือ พี่ตอบ ยังไม่ออกตอนนี้
5.11 ความคิดเด็กตอน4
เวลาผ่านไป อายุได้ 7 ขวบวิ่งเล่นไปไกลบ้านหน่อย เห็นเรือนหอตกแต่งสวยงามมีฟูกหนา มุ้งสวย ผู้ใหญ่แถวนั้นคุยกันจึงได้รู้กำลังจะมีงานแต่ง ข้าพเจ้าอยากแต่งงานแล้วซิ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นยังเด็กอยู่คิดไม่เป็น แต่ที่อยากแต่งเพราะชอบฟูกหนาๆ ที่บ้านของข้าพเจ้ามีแต่เสื่อสำหรับปูนอน นอนเจ็บกระดูก ข้าพเจ้าตัวผอม กินยากมากๆ ผัก หมูไม่ยอมกิน กินไข่ทอด ไข่ต้มทุกมื้อ ทุกวันจนโต แถมข้าพเจ้ายังจู้จี้อีก เรื่องมากพี่สาวทอดไข่ให้ก็ไม่เอาเพราะเขาผัดผักล้างกะทะครั้งเดียวไม่สะอาด ข้าพเจ้าทำเองล้างกะทะหลายครั้งมีผักติดกะทะนิดหนึ่งก็ไม่ได้ไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ เตาถ่านสูงไปไม่กลัว เอาเก้าอี้มาต่อยืนก็ได้ พอทอดเสร็จก็หมดหน้าที่โดยไม่ล้างกะทะ ตัวผอมมากคุณแม่อุตส่าห์ซื้อยาตรากุมารอ้วนพีมาให้กินก็ไม่อ้วน เห็นเตียงนอนของเรือนหอแล้วอยากได้ ข้าพเจ้าคิดต่อไปอีก ผู้ชายคงมีเงินเยอะและรวย จึงได้ซื้อเรือนหอสวยๆ เอ๊ะ เราจะรวยบ้างซิ เขามีอาชีพอะไร ปรากฏว่าได้ข้อมูลมาว่าเขาเป็นนักธุรกิจ ค้าขายมีหลายอาชีพ แสดงว่าเขาต้องฉลาด ฉะนั้นเราจะต้องฉลาดแบบเขาบ้าง ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็สนใจเรื่องความฉลาดของมนุษย์ ของสัตว์ ของธรรมชาติ
ที่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้อ่าน เพื่อจะให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่า เด็กก็คือมนุษย์หรือผู้ใหญ่ส่วนย่อ เพียงแต่คิดสะเปะสะปะเท่านั้น
ถ้าได้รับการฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบตั้งแต่เล็ก อาจมีความคิดเหนือกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กมีความละเอียดอ่อนในการรับรู้ ข้าพเจ้าประดิษฐ์ของเล่น วิศวกรน้อย สอนคณิตศาสตร์ทางเว็ป ก็เพื่อเป็นพื้นฐานให้เด็กคิดเป็นระบบ
5.12 ตัวแทนเด็ก
ที่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ก็เสมือนข้าพเจ้าตัวแทนของเด็กแต่ละวัย เด็กอายุ 5-6 ปีจะคิดสะเปะสะปะผู้ใหญ่ควรฝึกให้คิดเป็นระบบ วัยรุ่นอายุ 14-15 ปี ชอบอิสละ ฉะนั้นอย่าไปวุ่นวายกับเขาให้มาก อย่าเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กฝึกได้
สายไปแล้ว เมื่อรู้ว่ามนุษย์ทุกคนชอบอิสระเมื่อโต ก็ต้องฝึกกระบวนการคิดตั้งแต่เล็กจะได้เป็นภูมิคุ้มกันโรค การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ถือว่าเป็นปรอทวัดไข้ ถ้าเขาชอบเรียนคณิตศาสตร์ ถึงแม้จะเรียนไม่เก่งพ่อแม่ก็สบายใจได้ แต่ถ้าเขาไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ จะเป็นลางที่น่ากลัว เพราะเขาจะใช้ความรู้สึกแก้ปัญหา ไร้เเหตุผล ก็จะคิดสะเปะสะปะเช่นเดียวกับระดับเด็กอายุ 3 ขวบ เด็กเล็กชอบขีดเขียนฝาผนัง เขาก็จะชอบขีดเขียนฝาผนัง เด็กเล็กชอบทำอะไรแผงๆ เขาก็ชอบทำอะไรแผงๆ เด็กเล็กดีใจง่าย โมโหง่าย เด็กเล็กชอบทะเลาะกัน เขาก็ชอบเช่นกัน แต่หนักและต่างกว่านั้น เช่น ยาเสพติด การพนัน คอรัปชั่นก็จะวิ่งเข้ามาหาพวกนี้ได้โดย ง่าย ไว
5.13 อาชีพครูรู้ปัญหา
ปัญหาที่ข้าพเจ้าเคยแก้ ชื่อว่า “ใครเอาเงินไป”
สมัยนั้นข้าพเจ้าสอนหนังสือที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ระหว่างพักเที่ยง ก็มีเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิ่งกระหืดกระหอบมาหาข้าพเจ้า แล้วก็พูดว่า “อาจารย์ครับ ผมถูกเพื่อนขโมยเงินไป 5 บาทครับ” ข้าพเจ้าถามต่อ “หายที่ไหน? เมื่อไหร่? อย่างไร?
สงสัยใคร?” ข้าพเจ้าป้อนคำถามเป็นชุด ๆ ก็เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จริงก็เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับเด็กกับเงิน 5 บาทสมัยนั้น เด็กก็ตอบเป็นลำดับขั้นตอนว่า “ช่วงพักเที่ยง ผมเอาเงิน 5 บาทวางไว้บนโต๊ะเรียน ลืมใส่กระเป๋ากางเกง ผมก็ไปเล่นกับเพื่อน พอผมกลับมา เงินดังกล่าวก็หายไป มีเพื่อนๆ ที่เล่นด้วย 4 คน” ข้าพเจ้าถามต่อ “เธอลองไปถามเพื่อนซิว่า ใครเอาเงินไป” เด็กตอบ “ผมถามแล้ว ไม่มีใครรับ ผมจึงวิ่งมาบอกอาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ย” งั้นก็ไปตามเพื่อนทั้ง 4 มาหาครู” เวลาผ่านไป 5 นาที ก็มีผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 คน เดินมาหา ข้าพเจ้าถามเด็กทั้ง 4 ว่า ”ใครเอาเงิน 5 บาทของเพื่อนเราไป รับมาซะดีๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปคนที่ 1 “ผมเปล่าครับ” ชี้ไปคนที่ 2 “ผมก็เปล่าครับ” ชี้ไปคนที่ 3 “ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ” ชี้ไปคนที่ 4 “ผมก็ไม่รู้เรื่องครับ” ... อ้าว! แล้วข้าพเจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเอาไป ข้าพเจ้าคิดในใจว่า เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว การจะขู่ทีละคน หรือ เหมาเฆี่ยนตีแบบที่ ครูบางคนทำกัน ก็คงไม่ได้ผล และไม่มีใครยอมรับแน่ ๆ เพราะเด็กที่เอาไปจะไม่ยอมรับ เมื่อเขาพูดหลุดปากไปแล้วว่า “ผมไม่ได้เอาไป” ถ้าขืนรับ จะต้องเสียหน้าต่อครูและเพื่อน ๆ ข้าพเจ้าตัดบทว่า “เอาอย่างนี้นะ ครูเองก็เคยเผลอตัวเหมือนกัน เอาเงินเพื่อนใส่กระเป๋าตนเอง แล้วครูก็เอาไปคืนเขา นี่ถ้าใครเผลอตัวแบบครู ก็เอาเงินไปคืนเพื่อนซะ” ข้าพเจ้าหวังดีกับผู้ร้ายมาก แนะนำเสร็จ “วิธีคืน ตอนเช้ายังไม่มีใครอยู่ในห้อง เราก็เอาเงิน 5 บาทไปคืนใส่กระเป๋าเพื่อนที่ทำเงินหาย เพื่อนคนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเอาไป ลองไปคิดดูคืนนี้นะ ทุกคนกลับไปได้”...ตอนสายของวันรุ่งขึ้น นักเรียนที่ทำเงินหายรีบเดินมาหาข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจบอกว่า “อาจารย์ครับ เงิน 5 บาทที่หายไป ผมได้รับคืนแล้วครับ ไม่รู้ ใครเอามาใส่ไว้ในกระเป๋านักเรียนของผมเมื่อเช้านี้”
เรื่องที่เล่ามานี้ ชี้ให้เห็นว่า เป็นปัญหาที่ยาก แต่เราแก้ได้ง่าย เพราะเรารู้จักคำว่า “ให้” ในที่นี้คือ ให้ความเห็นใจเด็กทุกข์ ให้อภัยเด็กก่อน โดยเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ร้าย และก็ไม่ติดใจว่าผู้ร้ายคือใคร แต่เราสร้างกระบวนการคิดให้กับเด็ก คือ เด็กจะต้องคิดว่า 1) เอาเงินเพื่อนไปนั้นดีเขาหรือดีเรา? 2) ถ้าเอาเงินคืนเพื่อนไปแล้วจะดีเขาหรือดีเรา? แต่เราช่วยเพิ่มความฉลาดในข้อ 2 ให้ ปัญหานี้ผ่านไปได้ดี คือทุกคนมีความสุข เด็กที่ทำเงินหายมีความสุข เพราะได้เงินคืนแล้ว ผู้ร้ายก็มีความสุข เพราะตนผิดพลาดไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้น แล้วเพื่อนก็ไม่รู้ว่าเป็นเรา คบกัน ได้ต่อไปโดยไม่สะดุด..... เฮ้ย ! วันนี้มีอะไรหายอีกหรือเปล่าเพื่อน?....
5.14 อาชีพครูเจอปัญหา
ครั้งหนึ่งพบเด็กนักเรียนชายหนีออกนอกบริเวณโรงเรียนต่อหน้าต่อตา เป็นนักเรียนที่ข้าพเจ้าไม่ได้สอน ก็แสดงว่าเป็นคนที่คิดสะเปะสะปะ ความไม่แน่นอน ความปลอดภัยตัวเรา รถยนต์ของเราอาจจะมีความผิดปกติ ถ้าเราไปยุ่งทำให้เขาไม่พอใจ ครั้นเราจะวางเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ ศักดิ์ศรีความเป็นครูก็จะหมดไป สักพักก็คิดออก แล้วก็เรียกมา “นี่เธอหนีออกบริเวณโรงเรียนนั้นผิดหรือไม่ “เขาเฉยไม่พูด ย้ำถามอีกที ตอบมาว่าผิดครับ “จะให้ครูทำโทษหรือให้ฝ่ายครูปกครองทำโทษ” แกก็บอกว่าให้ข้าพเจ้าทำโทษ “จะให้เฆี่ยนกี่ที” แกตอบทีเดียว “ทีเดียวน้อยไป” ตอบมาว่าแล้วแต่ครู “คนอื่นหนีครูเฆี่ยน 6 ทีทุกคน ครูจะเฆี่ยน 6ทีนะ”จากนั้นข้าพเจ้า ก็หาไม้เรียวเฆี่ยนไป 2 ที “อีก 4 ทีค้างไว้ ถ้าคราวหน้าหนีอีกก็จะทวงคืน แต่ถ้าไม่หนีก็ยกให้” หลังจากนั้น พอแกเห็นหน้าข้าพเจ้าไกล แกก็หนีหน้า ไม่อยากมายุ่งกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นก็สบายใจ เพราะเหตุทำนองนี้พึ่งมีให้เห็น อาจารย์ผู้หญิงไปต่อว่าเด็กที่ทำผิดกฎระเบียบโรงเรียน เป็นเด็กที่ไม่ได้สอน จากนั้นรถยนต์ก็ถูกขีดข่วน เด็กที่คิดสะเปะสะปะก็จะคิดถึงตัวเอง ท่านไม่ได้สอนผม ก็อย่าวุ่นวายกับชีวิตผม การที่ข้าพเจ้าทำเช่นนั้นก็เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิด ทำให้มันซับซ้อนไว้ เด็กพวกนี้ไม่ชอบคิด ไม่ชอบใช้สมอง ก็จะหนี แล้วก็ลืมการอาฆาตด้วย
5.15 ปราบนักเรียนคุยระหว่างเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมปลาย ทุกครั้งที่ห้าม ก็ไม่ได้ผล ไปว่ากล่าวก็ไม่ได้ผลเช่นกัน ปัญหานี้แก้ยาก ลองใช้วิธีใหม่ พอเห็นเด็กคุยกัน เรียกเพียงคนเดียว ชี้ไปที่ “เธอยืนขึ้น” แกก็ยืน “ขวาหัน” แกก็หัน “หน้าเดิน” แกก็เดินแล้วก็พูดว่า อาจารย์ให้ผมออกจากห้องหรือครับ” ข้าพเจ้าตอบ งั้งซิ พอวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเห็นเขาทำท่าไม่สนใจเรียนก็เรียกชื่อ แกตอบว่าผมยังไม่ได้คุย ข้าพเจ้าบอก ครูให้เธอเตรียมตัวไว้ก่อน เผื่อเธอคุย จากนั้นแกก็ไม่คุยในเวลาเรียนอีกเลย
เราสร้างกระบวนการคิดแบบง่ายๆ ว่า ถ้าทำแบบนี้ผลต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่จะไปสร้างกระบวนการเรียนเลขให้เก่ง นั้นยาก เพราะต้องใช้ เชาวน์ปัญญา สมาธิ ความอดทน เพราะ 3ประการนี้ต้องสร้างตั้งแต่เล็ก
จาก ธัญ เสรีรมย์